[suanboard monotone logo : 2777 bytes]
[header decor line : 64 bytes]
HOME RULE FAVOURITE MEMBER ZONE REACTIVATE FORGET PASSWORD    

SEARCH [icon freecompose : 217 bytes]
[icon register : 195 bytes] สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก : โพสต์รูป, รูปแบบตัวอักษร, ไอคอน, bookmark, ค้นหาข้อความ ฯลฯ [icon login : 178 bytes]

[icon-delete : 101 bytes]
" Avatar, อวตาร์ และ อวตาร (1) "
Avatar, อวตาร์ และ อวตาร (1)

เก่ง วงศ์กล้า
keng_wongkla@hotmail.com

เมื่อช่วงเย็นวันเสาร์ที่ผ่านมา ขณะเดินทางกลับจาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร เพื่อร่วมแสดงความยินดีกับบรรดาว่าที่บัณฑิต/มหาบัณฑิต/ดุษฎีบัณฑิตใหม่ ในงานวันซ้อมใหญ่พิธีรับปริญญาบัตร ประจำปี 2554

สิงห์หนองจอก ก็โพล่งถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ว่า “พี่จะซื้อแมคบุ๊คมาใช้สักเครื่องดีไหม ?” ในฐานะพี่น้องที่รักใคร่ชอบพอกัน กระผมจึงตอบกลับไปอย่างสุภาพว่า “เดือนหนึ่งพี่เปิดโน๊ตบุ๊คเครื่องเก่าใช้ถึง 5 ครั้งไหม”

พูดเช่นนี้ ใช่ว่าถ้าใครก็ตาม ที่เปิดคอมพิวเตอร์ใช้ไม่ถึง 5 ครั้ง/เดือน จะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายอาญา ไม่สามารถครอบครองแมคบุ๊ค หรือผู้ที่เปิดใช้ถี่กว่านี้ จะมีกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ว่าถึงคราวต้องไปซื้อหามันมาเป็นเจ้าของ

เงื่อนไขที่กำหนดว่าใครสักคน จะพิมพ์รายงานหรือท่องอินเตอร์เน็ต ด้วยโน๊ตบุ๊คไทยประกอบ อุปกรณ์ครบ ของแถมเพียบ ราคาหมื่นนิดๆ หรือแมคบุ๊คตัวท็อป เครื่องเปล่า ของแต่งให้หาซื้ออีกจม ราคาริมแสน ได้แก่ 3 ข้อนี่ต่างหากเล่า

1. ความต้องการ เริ่มจากว่าต้องการอะไร อรรถประโยชน์เชิงใช้สอย หรือเครื่องประดับแสดงฐานะ เป็นความต้องการของใคร ผู้ชายหรือผู้หญิง กระทั่ง ระดับของความต้องการ ว่ามากน้อยเพียงใด ถึงขนาด/เข้าข่ายจำเป็นหรือไม่ ฯลฯ

2. ความคุ้มค่า ที่แม้จะเป็นสิ่งสัมพัทธ์ ไม่มีมาตรฐานตายตัว สรุปคร่าวๆ ได้แค่ เป็นอัตราส่วนที่ชั่งน้ำหนักด้วยเหตุด้วยผล ซึ่งกำกับด้วยสติแล้ว ว่าสิ่งที่ต้องการจะได้รับการตอบสนอง ในระดับอันเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ เหนือสิ่งอื่นใด

3. ความสามารถในการจ่าย เงื่อนไขสำคัญที่สุด เพราะไม่ว่าความต้องการ รวมถึงความคุ้มค่า จะมีมากน้อยเพียงใด หากไร้ซึ่งความสามารถในการจ่ายแล้วหละก็ เรื่องราวทั้งหมดที่คิดกันมา ก็คงเป็นแค่ความฝันตอนกลางวัน... ฮ่า ฮ่า ฮ่า !

แม้จะยังไม่เหลือกินเหลือใช้พอซื้อแมคบุ๊ค มาโชว์สาวๆ ตามสตาร์บัคส์ อย่างที่วัยสะรุ่นสมัยนี้นิยมทำกัน กระผมก็ยืนยันว่า โตชิบา พอร์เทเจ ที 130 สลิมซีรี่ส์ ที่ใช้งานอยู่ทุกวันนี้ มันก็เป็นเครื่องมือที่เพียงพอ เก็บและผลิตงานได้ไม่น้อย

จัดเรียงข้อมูลคราวก่อน บังเอิญเจอเอกสารที่ค้นคว้าเก็บไว้ ตั้งใจจะเขียนเป็นบทความวิชาการลงตีพิมพ์ในวารสาร แต่ล่วงมาถึงวันนี้ก็ปาไปกว่า 2 ปี ขืนปล่อยทิ้งไว้อีก เห็นทีท่าจะเสียเปล่า จึงขอนำบางส่วนบางตอน มาเล่าก่อนก็แล้วกัน

เรื่องราวทั้งหมด เริ่มต้นจากการเข้าฉายของภาพยนตร์แอนิเมชั่น 3 มิติ ผลงานการกำกับของ เจมส์ คาเมรอน เจ้าของคำประกาศ “I’m the king of the world” เรื่อง “Avatar” หรือ “อวตาร” ในภาษาไทย เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2552

เนื้อเรื่องโดยสรุป กล่าวถึงการรุกรานดาวดวงอื่นของมนุษย์โลก เพื่อค้นหาทรัพยากรธรรมชาติอันเป็นประโยชน์ มีศักยภาพในทางเศรษฐกิจ และคุ้มค่ากับเงินลงทุนจำนวนมหาศาลของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

ภายใต้สารพัดแนวทางเพื่อให้วัตถุประสงค์บรรลุผล นักวิทยาศาสตร์ชาวโลกจึงคิดค้นสิ่งที่เรียกว่า “Avatar” หรือร่างควบคุมผ่านคลื่นสมองระยะไกล ที่มีลักษณะทางกายภาพเหมือนกันกับของชาวพื้นเมือง

ด้วยความมุ่งหมายที่แตกต่าง ระหว่างนักวิทยาศาสตร์ ที่มุ่งจะเรียนรู้และเกลี่ยกล่อมให้ชาวพื้นเมืองร่วมมือ กับนักลงทุน ที่ไม่เกี่ยงวิธีการ ขอเพียงให้แหล่งแร่ใต้ชุมชน ตกมาอยู่ในมือของตน และสามารถนำส่งกลับไปขายยังโลกได้

โครงการวิจัยแบบมีส่วนร่วม อย่างที่นักมนุษยวิทยาชอบใช้ในการศึกษาวัฒนธรรมของสังคมด้อยพัฒนา จึงกลายสภาพไปเป็นข้อมูลเบื้องต้น ให้กับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยไม่ได้ตั้งใจ…

ในฐานะนักเรียนที่มีความสนใจเป็นพิเศษ กับการศึกษาผลงานวรรณกรรมในเชิงปรัชญาการเมือง ประเด็นทางวิชาการที่ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ในตอนต้น จึงเป็น “การก่อรูปของสังกัปว่าด้วยสงครามอเมริกัน-อิรัก”

ซึ่ง “การก่อรูปของสังกัป” ก็เป็น 1 ใน 3 ความหมาย ของคำว่า “Avatar” ในภาษาอังกฤษ ที่จงใจจะยกขึ้นมาล้อเลียน และขับเน้นเพื่อนำไปสู่ข้อท้วงติงประการหนึ่ง เกี่ยวกับการแปลชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้มาเป็นภาษาไทยด้วย

เพราะหากตรวจสอบจากพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ทั้งที่แปลเป็นภาษาอังกฤษและ/หรือภาษาไทย ก็จะพบว่า “Avatar” มีความหมายที่แตกต่างแต่คล้ายคลึงกันอยู่เพียง 3 นัย คือ

1. การแบ่งภาคลงมาเกิดยังโลกมนุษย์ของพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาฮินดู ตามรากศัพท์ในภาษาสันสกฤต “Avatara” (ava + tara) โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระนารายณ์ (พระวิษณุ) พระผู้รักษาโลก ทั้งในรูปของมนุษย์และอมนุษย์

2. การก่อรูปของสังกัป หรือลักษณะทางกายภาพ ทัศนคติ ความคิด มุมมองเกี่ยวกับชีวิต รวมถึงหลักการ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งนามธรรม ให้ปรากฎเป็นรูปธรรม และ

3. ภาพแทนหรือรูปสัญลักษณ์ของยูสเซอร์/เจ้าของแอคเคาท์ ในโลกเสมือนจริง อาทิ อินเตอร์เน็ต

ว่ากันตามเนื้อหาของภาพยนตร์ ความหมายของชื่อเรื่องจึงมีความโน้มเอียงที่จะตรงกับนัยที่ 2 กล่าวคือการก่อรูปของความเป็นผู้ควบคุมร่างเทียม ให้ปรากฎเป็นร่างเทียม ทั้งลักษณะทางการภาย ความคิดความอ่าน ตลอดจนนิสัยใจคอ

หรือพอที่จะถูไถได้ด้วยความหมายตามนัยที่ 3 ว่าเป็นภาพแทน ซึ่งโดยธรรมชาติ ย่อมมีควมคล้ายคลึงกับลักษณะเด่นของยูสเซอร์ไม่มากก็น้อย ในโลก (เสมือนจริง) ของชาวพื้นเมือง ผ่านการควบคุมด้วยคลื่นสมองระยะไกล

ส่วนความหมายตามนัยที่ 1 นั้น เรียกว่าปิดประตูตายไปได้เลย เพราะเป็นนิยามที่ยึดโยงอยู่กับ เทพปกรณัมพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งแม้จะมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง ว่า คาเมรอน อาจนำแนวคิดทางตะวันออกเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้

แต่ด้วยองค์ประกอบอันเป็นสาระหลักของกริยา พระผู้เป็นเจ้าแบ่งภาคลงมาเกิด จึงย่อมไม่สามารถสวมแทนกันได้ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ และประสานคลื่นสมองของมนุษย์เข้ากับร่างเทียม

ขณะที่เมื่อตรวจสอบจากพจนานุกรมภาษาไทย “อวตาร” กลับมีเพียงความหมายอันอ้างอิงอยู่กับภาษาสันสกฤต “อว” บวก “ตร” แปลว่า การลงมาเกิด การแบ่งภาคมาเกิดในโลก ไปไกลสักหน่อยก็ว่า เป็นชื่อของพระนารายณ์

เรียกว่ากินความลำพังนัยที่ 1 ของ “Avatar” ในภาษาอังกฤษ ซึ่งกระผมก็ได้ชี้เหตุแจงผลไปแล้ว ว่าไม่น่าจะใช่ความหมายของชื่อภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ เจ้าของสถิติทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเรื่องนี้ เป็นแน่แท้

สรุปอย่างสุภาพก็คือ ชื่อแปลในภาษาไทย ทำท่าจะไม่สอดรับกับความหมายที่ต้องการสื่อในภาษาอังกฤษ พูดตรงๆ ได้ว่า งานนี้แปลผิดนั่นเอง

เมื่อรู้แล้วว่า “อวตาร” ในภาษาไทยปัจจุบัน ไม่สามารถรองรับนัยของ “Avatar” ที่ว่าได้ ผู้เกี่ยวข้องก็มี 2 ทางเลือก คือ 1 หาทางกล่อมให้บรรดาผู้เฒ่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน ราชบัณฑิตยสถาน ยอมขยายความหมายของคำในพจนานุกรม

หรือไม่ก็ 2 ย้อนกลับไปเปลี่ยนชื่อเรื่องเสียใหม่ ซึ่งง่ายกว่าเป็นไหนๆ ในทางทฤษฎี แต่เชื่อเถอะครับว่า ไม่มีใครเอาด้วยกับกระผมชัวร์

เมื่อเป็นกันซะอย่างนี้ กระผมก็ขอประกาศยึดอำนาจ ตั้งเองใช้เองเสียเลย ว่า “อวตาร์” ส่วนใครจะเอาอย่าง นำไปใช้กันดูบ้าง ก็ไม่สงวนห้ามแต่อย่างใด เพราะการลดความมั่วให้น้อยลง ใช้คำถูกให้มากขึ้น ออกจะเป็นเรื่องมงคล

เรียกว่ายิ่งใช้ ก็ยิ่งเป็นมงคลครับ !!!

--------------------------------------

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2555 หน้า 6.
05 มี.ค. 55 / 23:44
0 0
finn [icon smile : 92 bytes] (3370) : [ protect email from spamware ]
view 2177 : discuss 0 : rating - : bookmarked 0 : vote 0 27.130.122.41


กระทู้นี้ต้องล็อกอินก่อนแสดงความคิดเห็นครับ

[icon login : 178 bytes]