|
|
" เรื่องราวของแพทย์ประจำบ้านศิริราชพยาบาล " |
|
|
เรื่องราวของแพทย์ประจำบ้าน ศิริราชพยาบาล
นักเรียนเก่าโรงเรียนเตรียมอุดมศืกษา
ฉันไม่ต้องการให้เธอเป็นแพทย์อย่างเดียว. ฉันต้องการให้เธอเป็นคนด้วย
สมเด็จพระราชบิดา
@
ความต้องการที่มากกว่า
รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
คัดจากนิตยสาร Modern Mom ฉบับที่ 187 เมษายน พ.ศ. 2554
@
นอกจากงานตรวจรักษาผู้ป่วยแล้ว งานประจำอีกอย่างหนึ่งของผมซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการตรวจรักษาผู้ป่วยเลยก็คือ การสอนนักศึกษาแพทย์ ซึ่งการสอนดังกล่าวมีทั้งการสอนบรรยาย การสอนวิธีตรวจผู้ป่วย วิธีการผ่าตัดผู้ป่วย ซึ่งเป็นการสอนกับตัวผู้ป่วยจริงๆ เลย การสอนเหล่านี้ทำให้ผมได้มีโอกาสพบปะกับนักศึกษาแพทย์จำนวนไม่น้อยที่เติบโตและได้รับการเลี้ยงดูมาจากครอบครัวที่แตกต่างกันมากมายหลายประเภท
ผมโชคดีที่ได้พบกับนักศึกษาแพทย์ชื่ออนุช ขณะที่เธอกำลังเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5 สิ่งที่อนุชทำให้ผมสนใจอยากไตร่ถามก็คือ ดูเธอเป็นคนที่ตั้งใจเรียนค่อนข้างมาก หน้าตาของเธอก็ดูดี แต่ทำไมเสียงของเธอจึงค่อนข้างแหบจังเลยก็ไม่รู้ ภายหลังได้พูดคุยกับเธอ ผมกลับได้ข้อมูลและข้อคิดจากเธอมากมายซึ่งน่าสนใจมากกว่าเรื่องเสียงของเธอเป็น 100 เท่า 1000 เท่า
ผมอยากให้ทุกท่านลองอ่านบทความที่ผมขอให้เธอช่วยเขียนเกี่ยวกับชีวิตของเธอดูหน่อยดีไหมครับ ผมมั่นใจว่าภายหลังอ่านแล้ว ทุกท่านคงจะรู้สึกว่าคุณหมอที่น่ารักและน่าภาคภูมิใจด้วยยังมีอยู่นะครับ และถ้าใครมีลูกหลานที่อยากให้มาเรียนเป็นหมอ ก็ฝากให้ลูกหลานอ่านด้วยนะครับ ผมจะได้มีโอกาสสอนคนรุ่นใหม่ที่ชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วยจะฝากชีวิตได้ ไม่ใช่คนรุ่นใหม่ที่ไม่เห็นทุกข์ร้อนของประชาชน
_______________________________________________________
@
หนูเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีคนอยู่ด้วยกัน 4 คน คือ คุณยาย คุณแม่ คุณพ่อ และตัวหนู ตั้งแต่จำความได้สิ่งที่เห็นมาอย่างต่อเนื่องก็คือ การทำงานหนักของทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และรวมทั้งคุณยายของหนูด้วย เพราะครอบครัวของหนูไม่มีกิจการส่วนตัวอะไร รายได้หลักมาจากเงินเดือนที่ได้รับจากการเป็นพนักงานบริษัทของทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของหนู บ่อยครั้งที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่มีงานยุ่งมากและกลับบ้านดึก ปล่อยให้หนูต้องอยู่กับยาย ความคิดของหนูเมื่อเริ่มโตขึ้นเป็นวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยช่างฝันก็คือ หนูอยากเป็นหมอ เพราะคิดว่าอาชีพนี้จะทำให้หนูร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว คุณพ่อและคุณแม่ของหนูจะได้เลิกลำบากเร็ว ๆ นอกจากนี้หนูยังคิดว่าอาชีพนี้จะทำให้ชีวิตของหนูมั่นคงด้วย หนูตั้งใจเรียนอย่างมากเพราะหนูอยากไปให้ถึงฝัน และผลการเรียนของหนูก็อยู่ในเกณฑ์ดีตั้งแต่วัยเด็กเลย หนูจึงคิดว่าความฝันของหนูไม่น่าจะเลื่อนลอย
ขณะหนูเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา หนูพบว่าเสียงของหนูแหบลงเรื่อย ๆ คุณพ่อและคุณแม่พาไปหาหมอหลายที่ทั้งคลินิกและโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย จนเมื่อหนูเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หนูเริ่มมีอาการปวดศีรษะมากขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งหนูคิดว่าอาการปวดศีรษะและอาการเสียงแหบของหนูน่าจะเกี่ยวข้องกัน ในระหว่างนั้นหนูต้องสอบตรงเข้าเรียนแพทย์ที่ศิริราชพอดี หนูจึงต้องทนเสียงแหบและปวดศีรษะร่วมไปกับการอ่านหนังสือสอบอย่างหนัก
ต่อมาเมื่อประกาศผลสอบว่าหนูสอบติดที่ศิริราชในรอบที่ 1 หนูจึงตัดสินใจมารักษาตัวที่ศิริราชทันที และที่นี่เองที่หนูได้เริ่มเรียนรู้ความเป็นแพทย์ที่แท้จริง อาจารย์แพทย์ผู้ดูแลหนูและพี่แพทย์ประจำบ้าน ได้แสดงให้เห็นถึงความละเอียดรอบคอบและความใส่ใจที่จะดูแลหนูอย่างดี และยังให้คำแนะนำเรื่องชีวิตการเรียนแพทย์ให้หนูทราบอีก ณ ที่ศิริราชนี่เองที่หนูทราบว่าหนูเป็นโรคอะไร จากการตรวจด้วยเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์(CT scan) ทำให้ทราบว่าหนูเป็นเนื้องอกเยื่อหุ้มสมองชนิดที่เรียกว่า เมนิงจิโอมา (Meningioma) ซึ่งเป็นเนื้องอกธรรมดาที่ไม่ใช่มะเร็ง ซึ่งมีตำแหน่งอยู่ลึกในร่องสมองข้างซ้ายที่เรียกว่า Jugular Foramen
ภายหลังทราบการวินิจฉัย หนูยังได้รับการตรวจสืบค้นอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อยืนยันว่าหนูสามารถที่เรียนแพทย์ได้อย่างไม่มีปัญหาซึ่งในระหว่างนี้หนูต้องอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อจะสอบตรงเข้าศิริราชในขั้นตอนต่อไป ในที่สุดหนูก็สอบเข้าเรียนแพทย์ศิริราชได้และก่อนการเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1 หนูก็ได้รับการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคเนื้องอกเยื่อหุ้มมองของหนูโดยคณาจารย์ผ่าตัดสมองของศิริราช จนถึงขณะนี้ประมาณ 5 ปีภายหลังการรักษาหนูยังคงได้รับการตรวจติดตามโรคอยู่ จากการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เมื่อไม่นานที่ผ่านมา พบว่าขนาดเนื้องอกมีขนาดเล็กลงและไม่มีความผิดอื่นเพิ่มเติม หนูยังคงมีเสียงแหบบ้าง แต่ไม่ปวดศีรษะแล้ว
มีผู้กล่าวว่า แพทย์ที่ดีควรที่จะเคยเป็นผู้ป่วยมาก่อน
หนูคิดว่าหนูเข้าใจความหมายประโยคนี้อย่างลึกซึ้งได้เร็วกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ เพราะหนูเคยเป็นผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากการเป็นโรคมาก่อน และในขณะที่เป็นโรคนี้ หนูก็คือผู้ป่วยคนหนึ่งที่ไม่มีความรู้ทางการแพทย์อะไรเลย จนเมื่อได้มาเรียนแพทย์ที่ศิริราชนี้แหละที่ทำให้หนูค่อยๆ รู้โรคของตัวหนู ในอดีตหนูเคยรอตรวจตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น เคยถูกดุถูกว่าจากบุคลากรทางการแพทย์ หนูเคยได้รับการวินิจฉัยโรคผิดว่าเป็น โรคภูมิแพ้ โรคปวดศีรษะ รวมทั้งโรคจิตประสาท จนต้องทนทรมานอยู่นาน หนูและครอบครัวเคยหวาดกลัวและกังวลในสิ่งที่เรามี่รู้ไม่เข้าใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้ การเจ็บป่วยของหนูเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสิ่งหนึ่งในชีวิตหนู เพราะมันทำให้หนูเข้าใจความทุกข์ของผู้ป่วยได้อย่างแจ่มชัด หนูมั่นใจว่าหนูทราบสิ่งที่ผู้ป่วยคิดและต้องการ นอกจากนี้โรคที่หนูประสบยังทำให้หนูเต็มใจและเปิดใจเสมอที่จะเรียนรู้เพื่อจะดูแลผู้ป่วยให้เขาสบายใจ หายเจ็บไข้ และมีความสุข หนูอยากบอกเพื่อนๆ ของหนู พี่แพทย์ประจำบ้าน และอาจารย์แพทย์ที่เคารพทุกท่านว่า หนูเข้าใจคำกล่าวของสมเด็จพระ
ราชบิดาที่ว่า ฉันไม่ต้องการให้เธอเป็นแพทย์อย่างเดียว แต่อยากให้เธอเป็นคนด้วย อย่างแจ่มชัดในใจแล้วตั้งแต่เริ่มเรียนแพทย์ไม่นาน ความมุ่งมาดปรารถนาในวัยเด็กของหนูที่อยากจะเป็นหมอเพราะอยากรวยและอยากให้พ่อแม่ไม่ลำบากนั้น หนูคิดว่ามันเล็กน้อยเกินไปแล้ว หนูอยากจะลำบากแล้วคะ ถ้าความลำบากของหนูจะทำให้ผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานเหมือนหนูหรือมากกว่าหนูได้มีชีวิตที่ดีขึ้น หนูก็พร้อมจะทนด้วยความสุขใจอย่างยิ่ง
เมื่อขึ้นเรียนแพทย์ในชั้นปีที่ 3 หนูมีจุดประสงค์ที่แจ่มชัดแล้วว่า หนูจะต้องเรียนเพื่อให้รู้ ไม่ใช่เรียนเพื่อให้สอบได้คะแนนดี ๆ หนูต้องการพื้นฐานความรู้ทางคลินิกที่ดีเพื่อที่หนูจะรักษาผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง และหายจากโรคอย่างเร็ว ไม่ให้ผู้ป่วยต้องทนทรมานและเสียโอกาสการรักษาที่ดีอย่างที่หนูเคยประสบมากับตัวเอง
เมื่อขึ้นเรียนแพทย์ในชั้นปีที่ 4 หนูมีความสนุกเวลาคิดเชื่อมโยงความรู้ที่ได้เรียนมาจากหลาย ๆ ภาควิชา หนูตั้งใจเรียนแนวทางการวินิจฉัยโรคและใส่ใจกับการตรวจร่างกายเพราะเป็นพื้นฐานความเป็นแพทย์ นอกจากนั้นหนูยังโชคดีที่ได้มีโอกาสเรียนรู้จากเหล่าคณาจารย์ที่มีความรู้ดีเยี่ยมทั้งนั้น หนูจึงตั้งใจเก็บเกี่ยวความรู้ทั้งด้านวิชาการและการใช้ชีวิตจากคำที่ท่านอาจารย์ทุกท่านสอน เพราะเมื่อเรียนจบไปแล้ว โอกาสเช่นนี้คงไม่กลับมาอย่างง่าย ๆ อีกแล้ว หนูยังมีโอกาสได้พบแพทย์รุ่นพี่ที่ดีที่เสียสละเหนื่อยยาก เพื่อผู้ป่วยและเพื่อน้อง ๆ และที่สำคัญหนูยังได้พบอาจารย์แพทย์ที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ป่วยของหนู คุณตาคุณยายหลาย ๆ ท่านที่เป็นผู้ป่วยได้สอนและให้ความทรงจำที่ดีแก่หนูตราบจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตของท่านเหล่านั้น
เมื่อหนูขึ้นเรียนแพทย์ในชั้นปีที่ 5 ในขณะนี้หนูรู้สึกมั่นใจและดีใจที่คิดว่ามาถูกทางแล้ว เพราะหนูมีความสุขและสนุกมากกับการเรียนแพทย์ เมื่อลืมเรื่องที่เคยเรียนก็กลับไปอ่านทบทวน เมื่อต้องการรู้มากขึ้นก็ค้นคว้าเพิ่มเติม และหนูยิ่งมีความสุขมากเวลาได้ทำหัตถการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหัตถการอะไรก็ตามที่ทำแล้วทำให้ผู้ป่วยสบายขึ้น หรือได้รับการรักษาอย่างถูกต้องรวดเร็ว หนูคิดว่าแค่เป็นนักศึกษาแพทย์ นี่แหละหนูก็ได้ทำบุญจนล้นเหลือแล้ว แค่ขยับสายน้ำเกลือให้น้ำเกลือไหลดี แค่เจาะเลือดตรวจหาความเข้มข้นของเลือดหรือแค่ตรวจปัสสาวะ ซึ่งเป็นงานเล็กน้อยมากในสายตาของหลายคน แต่หนูก็อยากจะทำถ้ามันจะทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นและคิดว่านี่คือการทำบุญแล้ว ขณะนี้หนูค่อนข้างมั่นใจว่าหนูค้นพบตัวหนูเองแล้วว่า หนูอยากเป็นแพทย์ และขอเลือกที่จะเป็นแพทย์ผู้อุทิศตน สร้างประโยชน์และบำบัดทุกข์แก่ผู้คนทั้งหลาย มากกว่าความสุขที่ไม่จีรังของความสะดวกสบายและร่ำรวยของตัวเอง หนูมั่นใจและมุ่งมั่นคะ
_______________________________________________________
ผมคิดว่าคงไม่ต้องสรุปหรือเขียนอะไรเพิ่มเติมอีกแล้วละครับ ที่อยากจะบอกตอนท้ายนี้ก็คือ ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง จริงทุกอย่างทั้งเนื้อหาและชื่อคน เพราะผมขออนุญาตมาแล้ว ไม่เหมือนกับบทความนับร้อยเรื่องของผมที่ต้องดัดแปลงเนื้อหาบ้าง เปลี่ยนชื่อคนบ้างเพื่อไม่ให้ไปกระทบกับผู้เกี่ยวข้อง
ผมดีใจจริงๆ ครับที่เกิดมาเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ที่คิดได้อย่างนี้ หมอไทยยังฝากความหวังได้ครับ
ปัจจุบัน(พ.ศ. 2557)
แพทย์หญิงอนุช ดุรงค์พันธุ์ กำลังเข้ารับการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 1 ของภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เธอสมัครเข้าเรียนในสาขานี้เพราะเธอสนใจอยากจะดูแลรักษาคนที่เสียงแหบเพื่อจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนที่เธอเคยประสบมากับชีวิต
@
แพทย์ที่เคยป่วยมาก่อน จะเข้าใจคนไข้ดี. ขอให้กำลังใจคุณหมอครับ
ฉันไม่ต้องการให้เธอเป็นแพทย์อย่างเดียว. ฉันต้องการให้เธอเป็นคนด้วย
สมเด็จพระราชบิดา |
|
|
08 ธ.ค. 57 / 15:32 |
|
0
0
jaguar (6859) : n/a : n/a : n/a |
|
|
|
|
|
view 3831 : discuss 0 : rating - : bookmarked 0 : vote 0
|
171.96.172.61
|
|